Wednesday, March 22, 2006

นายกสมควรลาออกอย่างยิ่ง

ที่มา http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4191968/P4191968.html
ความคิดเห็นที่ 80

คุณ b41golf

ผมขอชมอย่างจริงใจ ว่าเป็นกระทู้ฝ่ายเชียร์ท่านนายกทักษิณที่มีเหตุมีผล ยอมรับความจริงมากที่สุด ที่กล้าพูดตรงไปตรงมาว่า
"ความผิดที่กล่าวมาของทักษิน อาจจะไม่ผิดในทางกฏหมาย แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี"
อย่างไรก็ตาม ที่เสนอให้แก้ปัญหาโดยการเลือกตั้ง การเลือกตั้งมันใช้ได้ในกรณีปกติ แต่สำหรับนายกที่ผิดจริยธรรมเกินของเขต การบีบให้ลาออกโดยกระแสสังคม ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามวิถีประชาธิปไตย
เช่น กรณีประธานาธิบดีนิกสันซึ่งไม่ผ่านกระแสสังคมกรณีวอเตอร์เกต ยิ่งในกรณีเมืองไทย ผมว่ามันรับไม่ได้หรอกครับ แค่เริ่มต้นก็ฉาวโฉ่แล้ว จ้างคนลงสมัครแข่ง จ้างคนมาฟังหาเสียง

คุณลองมองในมุมของคนที่ขอให้ท่านลาออกดูบ้าง

1. เรื่องเลี่ยงภาษีกรณีขายหุ้น 1 บาทนี้ถ้าจะเรียกว่าช่องโหว่ของกฎหมาย ผมว่าความผิดของนายก ถ้าว่าไปแล้วร้ายแรงกว่าการมุดช่องโหว่ทั่วๆไป
เพราะเป็นการมุดออกช่องโหว่นั้นเป็นคนแรก(ซึ่งหลายคนยังสงสัยว่าให้ลูกน้องเป็นคนทุบกำแพงด้วยซ้ำ) แทนที่จะคิดจะอุดช่องโหว่นั้นตามหน้าที่ของนายก

2. ที่คุณว่า "ระหว่างที่ถืออยู่ ARI จะมีรายได้จากเงินปันผล ตามกฏหมายต้องเสียภาษี แต่ภาษีจากเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว"

ARI ถ้ามีปันผลจาก Shin ต่อให้หักภาษีแล้ว ต้องถือว่าที่เหลือเป็นกำไร ซึ่งถ้าเมื่อไรคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นด้วยปันผล ผู้ถือหุ้นต้องนำปันผลของARIไปคิดเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีอีกที
ซึ่งกรณีนี้มีข่าวว่าเลี่ยงภาษีปันผลจากการลงทุนต่างประเทศมาตลอด

3. ที่คุณว่า "การแก้กฏหมายเรื่องการถือหุ้นของต่างชาติให้เพิ่มเป็น 49% ได้ริเริ่มดำเนินการในสมัยนายกชวน ไม่ใช่นายกทักษิน และอย่างไรเสียกฏหมายฉบับนี้ ก็ต้องแก้เพราะมีนักธุรกิจร้องเรียนเข้ามามาก จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโดยรวม เพราะเวลานี้เราต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติค่อนข้างมาก"

ผมเชื่อว่า ตอนนั้นใครๆก็คิดว่าแก้กฎหมายแค่เปลี่ยนเลข 25 เป็น 49 แต่ในความจริงน้อยคนที่รู้ว่าท่านนายกแก้กฎหมายโทรคมนาคมโดยตัดคำว่าบุคคลสัญชาติไทยออกไป
ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามารับผลประโยชน์จากบริษัทโทรคมนาคมไทยในทางอ้อมได้สูงสุดถึงกว่า 98 เปอร์เซนต์ของผลกำไร ไม่ใช่แค่ 49 เปอร์เซนต์อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ล่าสุด ตัวอย่างชินคอร์ปชัดเจนมาก ชินคอร์ปประกอบด้วย (ตัวเลขก่อนที่จะซื้อหุ้นจากรายย่อย)

ซีดาร์โฮลดิ้ง(ไทย) 38.62%
ไทยรายอื่น 16.14%
แอสเพนโฮลดิ้ง(ต่างด้าว) 10.97%
ต่างด้าวรายอื่น 34.27%

ดูเผินๆไทยมี 54.76% ต่างด้าวมี 45.24%
แต่ในความเป็นจริง

ซีดาร์โฮลดิ้งประกอบด้วยเทมาเสก 49 % บริษัทคนไทย 51% (กุหลาบแก้ว 41% ไทยพาณิชย์ 9.9%)

ในกุหลาบแก้วยังประกอบด้วย คนไทย 51 % ไซเพรส (ตัวแทนเทมาเสก) 49 %

เฉพาะตัวอย่างแค่นี้ก็เห็นแล้วว่าต่างด้าว เข้าครอบครองชินคอร์ปถึง 45.24 + (38.62 x 0.49) + (38.62 x 0.41 x 0.49) = 71.92%
ถ้านับต่างด้าวที่แฝงในบริษัทไทยอื่นๆอีก เช่น ไทยพาณิชย์ ฯลฯ เชื่อได้ว่าต่างด้าวมีสัดส่วนในชินคอร์ปทางอ้อมไม่ต่ำกว่า 80 %เข้าไปแล้ว
ชินคอร์ปเข้าไปถือหุ้นในบริษัทโทรคมนาคมมากมาย ไม่ว่า AIS ITV ชินแซท ถ้าตามกม.เก่า ชินคอร์ปต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาไทยกว่า 50 % (ส่วนใหญ่ถือโดยลูกนายก)
จึงจะไม่มีปัญหาทางกม. เพราะถ้าชินคอร์ปเป็นบริษัทต่างชาติเมื่อไร สัดส่วนต่างชาติใน AIS ITV ชินแซทจะเกิน กม.กำหนด อาจถูกงดสัมปทาน หรือตัดสิทธิประโยชน์ต่างๆ

แต่การที่แก้กฎหมายโทรคมนาคมตัดคำว่าบุคคลสัญชาติไทยออกไป ทำให้ลูกท่านนายกสามารถขายหุ้นชินคอร์ปที่เดิมส่วนใหญ่ถือไว้ในฐานะบุคคลธรรมดาให้นิติบุคคลไทยเทียมได้
ในวันแรกที่กฎหมายบังคับใช้

4. เอาเรื่องที่คุณไม่ได้พูด แต่ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือการซุกหุ้นภาค 2

ถ้ายังจำความกันได้ ท่านนายกรอดซุกหุ้นภาค 1 มาด้วยการอุ้มจากกระแสสังคม ซึ่งหลายคนที่อุ้มท่านมากลับมาเป็นฝ่ายตรงข้ามท่านตอนนี้ ตอนนั้นทุกคนรับได้กับคำว่าบกพร่องโดยสุจริต
พอเวลาผ่านไป ท่านโอนหุ้นให้ลูก ไม่ซุกไว้ที่คนใช้เหมือนแต่ก่อน สังคมที่รักท่าน ก็แกล้งหลับตาว่าท่านไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ยกหุ้นให้ลูกไปไม่เกี่ยวกับท่านอีกแล้ว

แอร์เอเซีย ITV ชินแซท AIS ได้สิทธิกว่าควรจะเป็นไหม เถียงไปก็ไม่จบ

น็อตมันมาหลุดตอนที่ท่านขายShin นี่แหละ ที่ท่านบอกเป็นกระต่ายขาเดียวว่าเป็นการตัดสินใจของลูก ดีลนี้ท่านไม่เกี่ยว ไปสิงคโปร์ตอนปีใหม่หลายวันแค่ไปเที่ยวไม่มีการเจรจาธุรกิจ
แต่ช่วยไม่ได้ที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เชื่อท่าน ทุกคนยังเชื่อว่าท่านอยู่เบื้องหลังลูกของท่าน
ท่านไม่แคร์ต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเลย ซุกหุ้นภาค 1 ทุกคนทนได้ ซุกหุ้นภาค2 ถ้าไม่ประเจิดประเจ้อนัก ทุกคนก็ทนมาตลอด แต่ครั้งนี้ท่านเล่นแรงเกินไป
(ท่านนายกคงซวยจริงๆถ้าท่านไปเที่ยวสิงคโปร์จริงๆ ตอนปีใหม่ ไม่มีดีลธุรกิจ)

ผมเองโดยส่วนตัวก็เสียดายที่หลายเรื่องไม่มีโอกาสให้เวลาพิสูจน์

อย่าง 30 บาทรักษาืทุกโรค ที่มีปัญหารุมเร้า เงินกองทุนที่สะสมมาหลายสิบปีของแต่ละโรงพยาบาลกำลังใกล้หมด
เงินกองทุนหมู่บ้านที่มีงานวิจัยชัดเจนว่าชาวบ้านไม่น้อยนำเงินไปซื้อมือถือ จักรยานยนต์ จนเป็นหนี้เป็นสินต้องกู้เงินมาใช้หนี้เป็นงูกินหาง

แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 49 23:16:05

จากคุณ : Pom.com - [ 14 มี.ค. 49 23:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 91

ปัญหา 30 บาท จะให้รพ.รัฐขาดทุนเพื่อโครงการ 30บาท??!?!!?

ปีที่แล้วศิริราชเป็นหนี้ 3พันกว่าล้านบาทเฉพาะโครงการนี้ และยังไมมีใครมาจ่าย ต้องโยกเงินจากส่วนอืนมาโปะชั่วคราว โดยที่รัฐไม่ช่วยอะไรเลย
มองความเป็นจริงกันบ้างครับ ชาวบ้าน happy รัฐได้คะแนนเสียง แต่ระดับผู้ปฏิบัติงาน ตาย เท่านั้น รพ.ชุมชนไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่
ต้องตกเบิกกันหลายเดือน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่คนไทยหรือไงครับ ถึงต้องยอมไม่รับเงินเดือนเพื่อโครงการ 30 บาท

ความเป็นจริงที่คนชอบทักษิณปิดหูปิดตามาตลอด

จากคุณ : ....4จุด - [ 15 มี.ค. 49 00:03:28 ]