Tuesday, March 28, 2006

ผลประโยชน์ทับซ้อน

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/2006/03/29/w001_90630.php?news_id=90630

จากนั้นก็ผูกขาดรัฐธรรมนูญ ลดอำนาจการตรวจสอบฝ่ายค้านเพราะต้องการเสถียรภาพอำนาจฝ่ายบริหาร แม้จะเพิ่มบทบาทให้วุฒิสภาในการตรวจสอบ ตั้งองค์กรอิสระ ให้อำนาจถอดถอนรัฐมนตรี ตั้งกระทู้อภิปรายทั่วไปได้ ซึ่งแรกๆ ก็ดูเหมือนเป็นอิสระ แต่จากนั้นความอิสระก็หร่อยหรอ ใครไม่เป็นพวกก็เป็นศัตรู พวกที่มีญาติเป็นข้าราชการ ทำธุรกิจอยู่ก็พากันไม่ตรวจสอบ ความเป็นอิสระของสว.ก็ไม่เกิด การตรวจสอบสภาก็เป็นหมั้น

นายเจิมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ถัดมากก็เอาบ.ไทยรักไทยมาเอื้อประโยชน์ให้บ.ชินครอปเปอร์เรชั่น โดยออกกฎหมายโทรคมนาคม ออกพระราชกฤษฎีกาภาษีสรรพสารมิตร ทั้งที่ทำไม่ได้เพราะภาษีสรรพสารมิตรไม่มีเจตนารายได้ให้รัฐ แต่ต้องการเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟื่อย ซึ่งโทรศัพท์มือถือไม่เข้าข่าย และวิธีเก็บภาษีคือเก็บกับทุกบริษัท ยกเว้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานอยู่เดิมหรือบ.ที่ทำธุรกิจร่วมรัฐมานาน บ.ชินก็เข้าข่าย ทำให้บริษัทใหม่ๆ ไม่มีใครกล้ามาแข่งขันเพราะแข่งไปก็สู้ไม่ได้

นอกจากนี้ ดาวเทียมดวงแรกของไทย ก็ไปขอพระราชทานนามจากพระเจ้าอยู่หัว แต่ตอนนี้ก็ไปขายให้สิงคโปร์เรียบร้อยแล้วทั้งตัวดาวเทียม และจุดจอดดาวเทียมที่จะมีการจัดสรรให้แต่ละประเทศอย่างจำกัด ล่าสุดไปลงทุนติดตั้งดาวเทียมไอพีสตาร์ ก็ไปขอกู้เงินกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ นั่งเป็นประธาน และยังได้รับการยกเว้นภาษี โดยอาศัยข้อยกเว้นที่ว่าเป็นธุรกิจในเขตทุรกันดาร ให้ยกเว้นภาษี 8 ปี ซึ่งมูลค่าจริงเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่มีระเบียบกำหนดว่าการยกเว้นภาษีจะต้องไม่เกินเงินลงทุน บ.ชิน จึงได้ยกเว้นภาษีเป็นเงิน 16,400 ล้านบาท เท่ากับว่าบ.ชิน ไม่เสียค่าลงทุนสร้างดาวเทียมไอพีสตาร์เลย

สว.กทม. กล่าวอีกว่า ทางพม่า โดยลูกชายของนายพลขิ่นยุ่น จะทำธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ โดยจะซื้ออุปกรณ์จากบ.ชิน ซึ่งไม่มีประเทศใดให้กู้เงินเพราะไม่อยากเสี่ยง แต่ธนาคารเอ็กซ์ซิมแบงค์ ให้กู้ในวงเงิน 4,000 ล้านบาท ด้วยดอกเบี้ยต่ำพิเศษและระยะเวลานานเป็นพิเศษ แต่ในการกู้เป็นการกู้โดยรัฐบาลพม่า จึงมีการตกแต่งโครงการกู้เพิ่มว่าเพื่อก่อสร้างถนน และสิ่งก่อนสร้างอื่นๆ นอกเหนือโทรคมนาคมเพื่อให้ดูดี ซึ่งตนได้ถามกับผู้จัดการเอ็กซ์ซิมถึงสาเหตุที่ปล่อยกู้ ก็ได้คำตอบว่า ธนาคารไม่มีแผนการมาก่อน แต่เป็นนโยบายสั่งมาซึ่งธนาคารเองก็กังวลในความเสี่ยงจึงต้องให้ครมมีมติให้ปล่อยกู้ได้ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันโดยอ้างว่าทำเพื่อมนุษยธรรม ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน เท่ากับว่าพวกเราประชาชนต้องไปค้ำประกันความเสี่ยงให้พม่า และที่รู้มาอีกอย่างคือเงินแทนที่จะโอนจากเอ็กซ์ซิมไปพม่า ก่อนจะมาไทยแล้วค่อยไปบ.ชิน ก็แค่ข้ามถนนพหลโยธินจากตึกเอ็กซ์ซิมไปบ.ชิน โดยตรง

นายเจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทำผิดรธน.มาตรา 209 ที่ระบุบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะถือหุ้นหรือครอบครองกิจการทางธุรกิจไมได้ ต้องตั้งบริษัทกลางขึ้นมาดูแลแทน แต่จากหลักฐาน 2 ประการ คือ 1.ในการขายหุ้นบ.ชิน ของนายพานทองแท้ และนส.พิณทองทา ให้เหตุผลที่ขายหุ้นว่า แล้วแต่พ่อ ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี และ 2. นายกษิณ ภิรมย์ เอกอัครราชทูตไทยกรุงวอชิงตันได้เปิดเผยว่า สมัยที่ยังเป็นเอกอัครราชฑูตที่ญี่ปุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เยือนญี่ปุ่นและได้นั่งรถยนต์คันเดียวกันเพื่อไปพบนายกญี่ปุ่น ระหว่างทางพ.ต.ท.ทักษิณได้รับโทรศัพท์ และได้สั่งซื้อขายหุ้น ทั้งที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งตนเคยนำข้อมูลฟ้องศาลปกครอง แต่ศาลกลับไม่รับฟ้อง


แนะวรรณกรรม10เล่มที่ทักษิณควรอ่าน

ด้าน ผศ.ดร.คารินา โชติรวี อาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ กล่าวในการเสวนาเรื่อง วรรณกรรม 10 เรื่องที่ทักษิณ ควรอ่านว่าน่าสังเกตว่าหนังสือ 109 เล่มที่พ.ต.ท.ทักษิณ แนะนำให้อ่านนั้น ไม่มีเรื่องใดที่แต่งด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีแต่เกี่ยวกับธุรกิจ การบริหารซีอีโอ ยกเว้นแฮร์รี่พอตเตอร์แต่ก็แค่แนะนำเด็กๆ ให้อ่าน ตนในฐานะครูสอนวรรณคดี จึงรวบรวมหนังสือจากที่ใช้สอนอยู่มาแนะนำ ซึ่งวรรณคดี ไม่ใช่นิยายประโลมโลก แต่เป็นหนังสือที่ให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความเป็นจริง โดย 10 เรื่องที่อยากจะแนะนำได้แก่

1.1984 นวนิยายอังกฤษศตวรรษที่ 20 โดย จอร์จ ออร์เวล เล่าถึงความน่าสะพรึงกลัวของประเทศที่รัฐบาลเผด็จการควบคุมวิถีชีวิตความคิดของประชาชนด้วยสื่อที่ถูกบิดเบือนหลากรูปแบบ

2.Brave New World นวนิยายอังกฤษศตวรรษที่ 20 โดย อัลดัส ฮักซ์ลีย์ เล่าถึงโลกที่ถูกครอบงำโดยรัฐบาลเผด็จการเช่นเดียวกับ 1984 มิใช่ด้วยการกดขี่ แต่ด้วยการขายฝันงมงายระงับความทุกข์ ด้วยความสุขแบบผิดๆ

3.Dr Faustus บทละครยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของอังกฤษ โดย คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ เล่าถึงนักปราชญ์คนฉลาดที่ยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกกับอำนาจ และต่อมาก็ใช้พลังอำนาจแบบผิดๆ หมกหมุ่นอยู่กับเล่ห์เพทุบาย จนในที่สุดจุดจบและโทษทัณฑ์ก็คือนรกโลกันต์

4.The Emperor's New Clothes หรือ ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชา นิทานสอนใจ โดยราชเทพนิยายชาวเดนมาร์ก ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน

5.All My Sons บทละคร โดย อาเธอร์ มิลเลอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน เล่าถึงเศรษฐีนายทุนที่ห่วงแต่หาเงินเข้ากระเป๋า แต่ไม่คิดถึงศีลธรรมจรรยา และผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ แต่ในที่สุดก็ไม่อาจหนีความจริง

6.Macbeth โศกนาฏกรรมอังกฤษ โดย วิลเลียม เชคสเปียร์ เล่าถึง แม่ทัพผู้เก่งกาจอาจหาญแต่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน กำจัดผู้ที่ขวางเส้นทางสู่อำนาจเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ ในที่สุดกรรมก็ตามทัน แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ เห็นจะเป็น ภรรยาของแม่ทัพ ที่ร้ายกาจขาดศีลธรรมยิ่งกว่าสามีของตน

7."Ozymandias" บทร้อยกรองอังกฤษยุคโรแมนติก โดย เพอร์ซี เชลลีย์ เล่าถึง อนิจจังของอำนาจผู้นำเผด็จการ ที่แม้จะยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่ที่สุดก็ต้องสูญสิ้นอำนาจ พังครืนลงมาให้คนรุ่นหลังเย้ยหยัน

8.A Bend in the River นวนิยายสมัยใหม่ยุคหลังอาณานิคม โดย วี เอส ไนพอล เล่าถึง ทรราชย์โลกที่ 3 แสนฉลาด ชอบเล่นลิ้น สร้างภาพพจน์ว่าเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ มอมเมาประชาชนด้วยเทคโนโลยี กับฝันลมๆ แล้งๆ

9.A Christmas Carol นิยายอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19 โดย ชาร์ลส์ ดิกเคนส์ เล่าถึง "สครูจ" ชายแก่ที่หมกหมุ่นอยู่กับประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดถึงความทุกข์ยากของผู้อื่น ในที่สุดมีผีสี่ตนมาเตือน จึงยอมกลับตัวเป็นคนดี และ

10.Don Quixote วรรณกรรมเอกของโลก โดย เซร์บานเตส นักเขียนชาวสเปน เล่าถึงการต่อสู้เพื่อความฝันและอุดมการณ์แม้จะถูกเย้ยหยันจากคนที่ไม่เห็นคุณค่า แต่ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีลมหายใจ

"หนังสือที่แนะนำให้นายกฯอ่านจะเป็นวรรณกรรมเชิงคุณธรรม จริยธรรม และที่อยากจะแนะนำให้อ่านมากที่สุดคือ เล่มที่ 9 เพราะมีเนื้อหาที่สนุกและสะท้อนมุมมองต่างๆได้อย่างดี " ผศ.ดร.คารินา กล่าวย้ำ